ที่แรก! “อั้ม อธิชาติ” เปิดไทม์ไลน์ยุติความสัมพันธ์อดีตภรรยา ลั่นไม่มีปัญหาเรื่องมือที่สาม?

3

เรียกว่าเป็นข่าวช็อกของแฟนๆ สำหรับข่าวการเลิกราของพระเอกหนุ่ม “อั้ม อธิชาติ” กับนักร้องสาว “นัท มีเรีย” หลังก่อนหน้านี้ที่ฝ่ายหญิงได้ออกมายอมรับว่าได้ยุติสถานะสามีภรรยา ปิดฉากความรัก 15 ปี เหลือเพียงคำว่าเพื่อนให้แก่กัน ล่าสุดในรายการ คุยแซ่บshow ช่อง one31 “อั้ม อธิชาติ” ได้ออกมาเปิดใจเคลียร์ทุกประเด็นเป็นครั้งแรกหลังว่า

คุณแม่เข้าโรงพยาบาลหลายรอบเลยเพราะกรดไหลย้อนคุณแม่เป็นมานานหรือยัง?

คุณแม่ : เป็นมาเกือบ 10 ปีแล้ว

อั้ม : คุณแม่เป็นคนเอ็นจอยกับการทานมากๆ แล้ววันนึงไปปฎิบัติธรรมที่นครสวรรค์วันนั้นโทรมาแล้วบอกหายใจไม่ออก อารมณ์เหมือนจะไปแล้วและให้เราพยามพาไปหาคุณหมอ คุณหมอก็ตรวจบอกว่าเป็นกรดไหลย้อน หลังจากนั้นคุณแม่ก็ควบคุมอาหารมาโดยตลอด มาดูแลตัวเอง สิ่งที่คุณหมอบอกคือต้องควบคุมอาหารห้ามเครียดต้องออกกำลังกายให้เลือดไหลเวียน

คุณแม่ : แม่ชอบกินข้าวเยอะๆ แค่ข้าวกับน้ำปลาก็อร่อยแล้ว ตอนนี้ก็พยามควบคุมอาหารอย่างที่คุณหมอแนะนำ

อั้ม : พอเราทราบอาการคุณแม่มาห้าหกปี พอเราได้เรียนรู้ เวลากดมันขึ้นมาเราแยกไม่ออกว่าเป็นกรดหรือเป็นโรคหัวใจ เพราะฉะนั้นเวลาเกิดขึ้นตอนนั้นทานอาหารแล้วมือสั่นหน้าเริ่มซีดเราก็สงสัยว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ก็ได้มีการตรวจเอกซเรย์ขึ้นหัวใจ ก็เลยต้องพาไปนอนโรงพยาบาล

สาเหตุหลักๆ มาจากความเครียดด้วย เห็นจากการคอมเม้นต์หรือเปล่า?

คุณแม่ : ปกติคุณแม่ไม่ค่อยอ่าน ลูกก็บอกคุณแม่อย่าอ่านเนาะเค้าเป็นห่วง จุกและเครียดเห็นคอมเมนต์อ่านแล้วร้องไห้

อั้ม : ก็พยามพาคุณแม่ออกกำลังกายทำสวน ก็บอกเค้าอย่าอ่าน

ก่อนหน้านี้คุณแม่มีอาการกำเริบเกือบเสียชีวิตสองครั้ง?

อั้ม : คือตอนนั้นคุณแม่คุณแม่ก็ใจเสีย เพราะกลัวว่าจะไปหรือเปล่าเพราะเค้าอายุมากแล้ว

คุณแม่ : ลูกคือห้ามเยอะมากของทอดขนมเค้กปาท่องโก๋

อั้ม : คือเราให้กินแต่พอดีแต่มันไม่พอดีไง ก็เลยเกิดเหตุการณ์ที่หายใจไม่ออก แน่นก็เลยต้องพาไปหาหมอฉีดยาเข้าเส้น ตอนแรกเราไม่เคยเป็นเพราะไม่เข้าใจอาการ พอพาไปหาคุณหมอ แล้วคุณหมอบอกว่ามันไม่ใช่เล่นเล่นนะ นี่คือก็เลยรีบจัดการทันที เพราะหายใจเฮือกๆ ตลอดเวลา

คุณแม่ : แล้วผู้เฒ่าผู้แก่แบบแม่ก็มีอาการแบบนี้แต่เค้าจะไม่ทราบว่าเป็นกรดไหลย้อน เค้าจะสับสนว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนหัวใจ บางคนต้องไปเปลี่ยนเส้นบายพาสหัวใจ

คุณแม่ดื้อมั้ย?

คุณแม่ : ดื้อ ลูกก็ดื้อ

อั้ม : ด้วยความที่แม่เลี้ยงตอนเด็กๆ คนคิดว่าเป็นตุ๊ดหรือเปล่า? เพราะเราเรียบร้อย เรามีความเก็บกดอยู่ในใจพอขึ้น ม. 4 อยากจะใช้ชีวิตแบบเพื่อนบ้านเตะบอล ก็มีผู้หญิงเข้ามาในโรงเรียน ก็ขอใช้ชีวิตของตัวเองแล้วตอนนั้นก็เกรดตกเลย

คุณแม่ : คือเค้าเป็นดื้อเงียบ ไม่พูด เราก็เคยถือไม้เรียวเพื่อจะไปตีเขาบนห้อง แต่ก็ต้องวางไม้เรียวแล้วก็ไปร้องไห้

อั้ม : ก่อนหน้านั้นคือทะเลาะกันมาตลอด แล้วก็จากวันนั้นก็มาคิดได้

คุณแม่ : วิธีจัดการก็คือแม่ก็ไม่ตอแย อยู่บ้านเดียวกันแต่เขียนจดหมายแล้วก็ใส่ในชั้นเสื้อผ้าให้เค้าอ่าน

อั้ม : ที่เราไม่พูดเพราะเราคิดว่าพูดไปแม่ก็ไม่เข้าใจ แรกๆ ก็เขียนแต่หลังๆ มาเริ่มพิมพ์เพราะว่ามี LINE

คุณแม่ : ซึ่งบางครั้งเค้าก็ตอบบางครั้งก็ไม่ตอบ

จริงๆ อั้มเข้าวงการเพราะคุณแม่ดัน?

อั้ม : อย่าเรียกว่าแม่ด่าแม่ถีบเลย ตอนนั้นคือเราไม่อยากเข้าวงการ ไม่ชอบการที่ไปแสดง เรารู้สึกว่ามันไม่จริงใจ ตอนนั้นไม่อยากเข้าวงการเป็นคนขี้อายมาก ตอนนั้นก็มีโมเดลมาถ่ายรูปตอนนั้นไปก็หน้าหงิกตลอด คือเราไม่ได้ไปด้วยความเต็มใจ เพราะถ่ายรูปประกวดเสร็จปุ๊บ เราก็ไม่อยากไปป่วย ไปถึงเสร็จปุ๊บแม่ก็ขึ้นไปแนะนำตัว ก็ไม่ได้ร้ายกับใคร เพราะเค้าประกาศช่วงท้ายว่ารางวัลที่หนึ่งจะเป็นรถยนต์หนึ่งคัน จากง่วงๆ เราก็เริ่ม มีความอยากได้ คือเราเข้าวงการคุณแม่ก็เตรียมให้หมด

คุณแม่เห็นอะไรในตัวเขาที่จะเข้ามาในเป็นพระเอก ?

คุณแม่ : ตอนนั้นก็คืออยากให้เค้าลอง คุณแม่พยายามตามสุดฤทธิ์ ระหว่างที่รอการถ่ายทำ เค้าก็พยามสะกิดให้เรากลับเถอะ ใจเขาไม่อยาก เมื่อก่อนคือต้องไปกับเขา สาเหตุที่ไปเพราะเขางอแงไม่อยากมากอง

เมื่อก่อนเป็นคุณแม่ที่ดูแลพี่อั้ม แต่ตอนนี้พี่อั้มมาดูแลคุณแม่แล้วมีวิธีการดูแลคุณแม่บ้าง?

อั้ม : จุดมุ่งหมายหลักๆคือการไหลเวียนข้างใน ถ้าเรานอนดี เจออากาศที่ดี ก็พยามบอกคุณแม่ เราก็พาคุณแม่ไปอาบแดดตอนเช้า ก็ดูแลคุณแม่ด้วยรับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมด้วย

อีกเรื่องหนึ่งที่คุณแม่ตัดสินใจโกนผมบวชที่อินเดีย เพราะผ่านการตาย?

คุณแม่ : คือจริงๆ ผ่านการบวชมาสามครั้งแล้ว คืออั้มเป็นคนพาไปบวชที่อินเดีย บวชตรงประถมมาเทศนาอยู่ที่นั่น 9 วัน แล้วก็กลับมารักษาศเดินเท้าอยู่ที่จังหวัดสุพรรณให้ครบเดือน

ก่อนหน้านี้มีเพจเม้าท์แรงพระเอกเม้าท์พระเอกตัวท็อปนอกใจภรรยา?

อั้ม : ตอนนั้นอ่านด้วยสถานการณ์ที่เราอยู่ไม่ได้คิดว่าเป็นตัวเองเรายังคุยงานกับคุณนัทอยู่ ตามปกติคุณแม่ก็ไปซื้อกับข้าวตามปกติ ผู้ช่วยก็บอกว่ามีข่าวมาเต็มฟีดเลยโยงเป็นเราว่านอกใจเตียงหัก เราก็ไม่คิดว่าเป็นเรา เพราะก่อนหน้านี้เวลามีข่าวเราก็จะถูกโดนโยงทุกครั้ง แล้วก็มีนักข่าวโทรมาขอสัมภาษณ์หลายคน ซึ่งเราก็บอกว่าไม่ใช่พี่มั้ง ไม่ใช่เราที่นอกใจ คือตอนนั้นไม่อยากให้สัมภาษณ์เพราะว่าไม่อยากให้เป็นข่าวอะไรใหญ่โต แต่พอนักข่าวบอกว่าอยู่ใกล้ๆ เราก็ให้มาสัมภาษณ์ได้ ซึ่งถ้ามีชนักติดหลังเราจะเรียกมาสัมภาษณ์ทำไม คือเราเลิกกันตามเวลาที่คุณนัทบอก แต่ตอนที่พี่บอกคือตอนนั้นยังไม่ได้เลิกกันวันที่ 1 ตุลาคม แล้วหลังจากนั้นก็โทรถามคุณนัทว่าเห็นข่าวไหม มันไม่ใช่เรานะ เค้าก็บอกว่าเห็นแล้วเดี๋ยวโทรกลับเพราะกำลังจะไปทำงาน ซึ่ง 4 ตุลาก็จะมาออกรายการ วันที่ 2 แล้วก็ขอคุณนัทให้โทรกลับมา ซึ่งเราออกรายการเราก็เลยบอกก่อน หลังจากเราเข้ารายการคุณนัทได้โพสต์ ซึ่งเราก็คิดว่าอาจจะเป็นสิ่งที่คุณนัทโพสต์อยู่แล้ว คืนวันที่สองคุณนัทก็บอกว่ายังไม่พร้อมจะคุยขอเวลาซักสองสามวัน คือเราก็เลยงงว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ตอนนั้นก็เลยขอเวลายังไม่ออกรายการ ขอคุยปัญหาในบ้านก่อน สุดท้ายก็ได้คุย 5 คือคุณนัทก็บอกว่าได้คิดมาหลายเรื่องแล้วขอยุตติความสัมพันธ์ เราก็ถามว่าเป็นเพราะเรื่องไรบ้าง คือต้องขอบอกอย่างนี้พอช่วงระยะหลังหลังโตขึ้นเราก็มีอะไรหลายหลายอย่างคุณนัทก็อยากใช้ชีวิตอย่างนึงเราก็อยากใช้ชีวิตอย่างนึงมีความต้องการที่แตกต่างกันทั้งสองฝั่งเพราะฉะนั้นคุณนัทก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้นที่เราคุยกัน ผมก็เลยบอกว่างั้นกลับมาคุยกันที่บ้านได้ไหมมานั่งคุยกันเห็นหน้ากันชัดๆ ว่าเราจะยังไง ก็เลยได้คุยกันวันที่ 9 ตุลาคมแบบเจอตัว ก็ได้คุยกันวันนั้น คือเราใช้ชีวิตกันมามากแล้วผ่านเรื่องราวต่างๆ มามาก เรามีทั้งผิดพลาดมากมาย มีทุกข์และสุขมามากมาย วันนั้นที่เราคุยกันพี่ก็ถามว่ามีปัญหาของเรื่องมือที่สามอย่างที่ คุณนัทก็ตอบว่าไม่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเราสองคนเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สาม เป็นการยุตติความสัมพันธ์ด้วยกันเข้าใจ มันเริ่มมีความต่างๆในหลายหลายเรื่องเราสองคนรู้ดี อยากให้เรายุตติความสัมพันธ์ในแบบที่เป็นเพื่อนเจอกันแบ่งปันทักทายกันได้แบบนี้ดีกว่า นั่นคือสิ่งที่เราคุยกัน เพราะวันนั้นเราไม่ได้คุยกันเยอะเราต่างเคารพการตัดสินใจร่วมกันจริงๆ

หลังจากวันที่ 9 ตุลาคมก็ขอเวลานิดหนึ่งเพื่อย้ายของออก ก็เลยย้ายของจากบ้านวันที่ 13 ตุลาคม ถ้าตามไทม์ไลน์พี่ก็อยู่ตามปกติอยู่ แต่มันเกิดขึ้นหลังจากนั้น ซึ่งหลังจากนั้นเราก็ไม่รู้จะพูดอะไรเลย วันที่อัดคลิปก็คือวันที่ 2 ก็คืออยากใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้มีการทะเลาะเบาะแว้งอะไร

15 ปีมีประโยคไหน ที่ฟังจากพี่นัทแล้วรู้สึกว่าโอเคเรายุติความสัมพันธ์ใน ฐานะสามีภรรยากัน?

อั้ม : เราคบกันมานานแล้วเข้าใจทุกอย่างที่เป็นเค้าสังคมรอบข้างชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ คนในครอบครัวจริงๆที่เราบอกว่าเราเข้าใจเขาเราไม่ได้เข้าใจเขาจริงๆหรอก ต่างคนต่างมีข้อดีข้อเสียทุกข์สุขร่วมกันมา ในวันที่เขาตัดสินใจเราก็รู้สึกว่ามันเป็นเวลาของเขา มันมีอะไรมาก่อนหน้านั้นแต่เราพยามกันมาแล้ว ไม่ว่าจะอะไรก็ตามผิดเรายอมรับนะเราพร้อมจะบอกแก้ไข ถ้าอะไรที่มันไม่ใช่พี่ก็ต้องยืนยันตามนั้นว่าไม่ใช่

พี่นัทบอกเลิกกันทั้งที่ยังรักกันอยู่?

อั้ม : คือวันนี้เราพยายามกันมาแล้วไม่ใช่เรื่องของคนสองคนมันมีสิ่งต่างๆ ที่เราพยายามกันมาการสร้างชีวิตครอบครัวประกอบด้วยหลายส่วนครอบครัวเราครอบครัวเขา หลายๆ เรื่องเองเราก็พยาพยามแก้ไขมาโดยตลอด วันนั้นมันเป็นเรื่องของ 15 ปีไม่ใช่ประโยคประโยคนึง ถ้าตัดสินใจกันแบบนี้เราก็เคารพซึ่งเหตุผล

ไม่มีมือที่สามใช่ไหม ?

อั้ม : ไม่มี ตั้งแต่ย้ายออกจากบ้านมาแม่ช่วยยกขนของ มือที่สามก็คือแม่นี่แหละ

มีคนเม้าท์ว่าเป็นเจนี่หรือเปล่า?

อั้ม : กับเจนี่คือสนิทกัน ตอนนั้นก็มีพี่เจนี่พี่แอฟ พี่เบนซ์ ที่ทำงานด้วยกันสนิทกัน สรุปมือที่สามไม่มีแน่นอน

อาจจะต้องถึงไซเบอร์ เกรียนคีย์บอร์ดจะโดนไหม?

อั้ม : ถ้ามันเกินเลยไปมันกระทบคุณแม่ คือพี่ๆ เองไม่เป็นไร คนเราต้องการความถูกต้องแต่เราทำถูกต้องหรือเปล่า เราก็ทำความถูกต้องจากกระบวนการถูกต้อง

หลายคนเชียร์เสียดายมีโอกาสที่จะกลับมาไหม?

อั้ม : ตอนนี้ยังตอบอะไรไม่ได้เลย ต้องบอกว่าความรู้สึกความทรงจำที่ดียังอยู่ รูปในไอจีบางคนอาจจะลบแต่เรามองว่ามันเป็นความรู้สึกดีๆ รูปพี่นัทเราก็ยังเก็บไว้อยู่

เราเห็นเค้าแบบนี้เป็นยังไงบ้างแม่?

คุณแม่ : เค้าก็ซ่อนความรู้สึก

เค้ามีพูดอะไรกับแม่บ้างไหม ?

คุณแม่ : เค้าไม่ค่อยพูดเค้ารู้ว่าแม่เป็นยังไงไม่ค่อยพูดไม่ค่อยเล่า เพราะครั้งหนึ่งเราก็เคยน้อยใจลูกเวลาไปไหนทำไมถึงไม่ชวนแม่ไปไปวัดไปอะไรก็บ่นกับเขา ก็อยู่เป็นกำลังใจให้ลูกชายตลอดเวลา

อยากบอกอะไรกับคนที่ให้แฟนๆ ?

อั้ม : ขอบคุณทุกกำลังใจขอบคุณทุกความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นความความคิดเห็นที่ต่างกันก็ตาม เราเข้าใจทุกคนรักจึงเป็นแบบนั้นจึงเป็นสิ่ง แต่อยากให้ทุกคนเคารพในสิ่งที่เป็น การไปคอมเม้นต์บาดหมางเราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เพราะเราตกลงกันแบบนี้