กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ รณรงค์ประชาชนฉีดวัคซีนผ่านกลไกอสม.และยุว อสม.

56

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สนับสนุนการชักชวนครอบครัวไทย พร้อมใจฉีดวัคซีน ผ่านกลไกอสม. และยุวอสม.ร่วมเคาะประตูบ้านในการเป็นด่านหน้า เพื่อดูแลประชาชนและนำครอบครัวอสม.ทุกภาคทั่วประเทศมาฉีดวัคซีนด้วยความสมัครใจ

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เปิดเผยว่า อาสาสมัครสาธารณสุข ประจำหมู่บ้าน หรืออสม. เป็นผู้ที่ทุ่มเทในการปฏิบัติงานเฝ้าระวังป้องกันโรคอย่างเข้มแข็ง ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโรคโควิด 19 เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่รัฐบาลได้จัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพสำหรับประชาชน และเริ่มกระจายวัคซีนไปยังจังหวัดทุกจังหวัดในเดือนมิถุนายน 2564 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพการดำเนินการโดยอสม. เคาะประตูบ้านเพื่อเป็นด่านหน้าในการดูแลประชาชนและนำครอบครัวอสม. มาฉีดให้ครบ จึงจำเป็นที่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ประชาชน โดยการขึ้นทะเบียนรับวัคซีนต้องมีการจัดระบบในแต่ละจังหวัด และมอบหมายให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้ติดตามดูแลระบบการรับวัคซีน ที่สำคัญเราได้สร้างกลุ่มยุวอาสาสมัครสาธารณสุข (ยุว อสม.) หมายถึง เด็กและเยาวชนที่มีอายุ 11 ปี ขึ้นไป ที่อยู่ในระบบการศึกษาและนอกระบบการศึกษาที่สมัครใจเป็นจิตอาสาด้านสุขภาพที่มีความมุ่งมั่นเสียสละเข้ามาช่วยเหลือและทำงานในการดูแลสุขภาพให้แก่ เพื่อนนักเรียน ครอบครัว และคนในชุมชนให้มีสุขภาพดี โดยบทบาทของยุว อสม.โดยทั่วไปจะทำหน้าที่เป็นนักสื่อสารสุขภาพ ถ่ายทอดความรู้และวิธีการปฏิบัติตัวตามสุขบัญญัติให้กับเพื่อนนักเรียน นำไปถ่ายทอดให้กับคนในครอบครัวและชุมชน รวมทั้งทำหน้าที่เชื่อมประสานการทำงานระหว่างโรงเรียนและอสม.ในชุมชน

นพ.ธเรศกล่าวว่า กลยุทธ์ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพโดยกองสุขศึกษา ได้ดำเนินการให้ยุวอาสาสมัครสาธารณสุข (ยุว อสม.) และเครือข่ายเด็กและเยาวชนในระดับต่าง ๆ ทำหน้าที่ชักชวนคนในครอบครัวฉีดวัคซีน ภายใต้สุขบัญญัติข้อ 10 มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม การที่ทุกคนฉีดวัคซีนโควิด 19 ถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบในการอยู่ร่วมกันในสังคม คือ 1) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันตนเอง และป้องกันการติดเชื้อโควิด 19,  2) หากได้รับเชื้อโควิด 19 ก็จะป้องกันไม่ให้มีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิต และ 3) หากประชาชนฉีดวัคซีนเป็นสัดส่วนระดับ 70% ขึ้นไป ก็จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ทำให้การแพร่ระบาดยุติลง  หรือลดความรุนแรงของการระบาดลงได้

“ผมสนับสนุนยุวอสม.ให้เป็นนักสื่อสารสุขภาพ นำแนวทางสุขบัญญัติในเรื่องของการมีสำนึกต่อส่วนรวมร่วมสร้างสรรค์สังคมภายใต้คำขวัญ “ยุว อสม. ชวนครอบครัวไทย พร้อมใจฉีดวัคซีน” โดยใช้หลัก 3 ช คือ ช.ที่ 1 ชี้แจงความปลอดภัยและประโยชน์ที่ได้รับจากวัคซีน โดยยุว อสม.จะทำความเข้าใจกับเพื่อนนักเรียน นำไปถ่ายทอดคนในครอบครัว เรื่องการฉีดวัคซีน, ช.ที่ 2 ชักชวน การลงทะเบียนเพื่อไปฉีดวัคซีนแก่คนในครอบครัว และ ช.ที่ 3 ช่วยเหลือการลงทะเบียน หากลงทะเบียนไม่ได้ก็ช่วยลงทะเบียนให้และติดตามอาการหลังจากฉีดวัคซีน และนอกจากยุว อสม.จะดูแลคนในครอบครัวแล้วยังเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยสื่อสารให้กับเพื่อนนักเรียนบอกต่อคนในครอบ ครัวตนเองและคนรอบข้าง ให้เกิดความตระหนัก เห็นความสำคัญของการฉีดวัคซีนโควิด 19 และในวันที่ 28 พฤษภาคมของทุกปี ถือเป็นวันสุขบัญญัติแห่งชาติ เพื่อย้ำเตือนให้คนไทยทุกคนได้ปฏิบัติตนในการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานตามแนวทาง ที่เรียกว่าสุขบัญญัติ 10 ประการ อย่างสม่ำเสมอจนเป็นสุขนิสัยเพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บและสร้างเสริมสุขภาพให้มีสุขภาพดี ทั้งร่างกาย จิตใจและสังคม” นพ.ธเรศกล่าว

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เป็นภาวะวิกฤติทั่วโลก กระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงาน ภาคีเครือข่ายต่าง ๆ จึงรณรงค์ให้เด็กและเยาวชนและประชาชนตระหนักถึงการป้องกันอันตรายจากโควิด 19 ด้วยการ ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเดินหายใจอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น ไข้หวัดใหญ่ และวัณโรค และการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและเป็นวาระแห่งชาติ จึงอยากเชิญชวนคนไทยเข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด เพราะการฉีดวัคซีนเป็นมาตรการสำคัญที่จะหยุดยั้งความรุนแรงของการระบาดของโรคโควิด 19 ได้

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน สบส. คอลเซ็นเตอร์ 1426 และเว็บไซต์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ https://hss.moph.go.th