“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เปิดใจทุกเรื่อง ก่อนลุ้นเป็นนายกฯ 13 ก.ค. นี้

31

รายการโหนกระแส ออกอากาศวันที่ 10 ก.ค. 66 ดำเนินรายการโดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง กดเลข 33 สัมภาษณ์ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งในวันที่ 13 ก.ค. คนไทยเกือบทั้งประเทศร่วมลุ้นร่วมเชียร์ให้ได้เป็นนายกฯ

ได้คุยกันแล้ว?

“ในที่สุดครับ ตอนแรกที่มา มีนักข่าวถามว่าทำไมวันนี้มาออกรายกรโหนกระแส ผมก็บอกว่าเดี๋ญวพี่หนุ่มอาจถามเองในรายการ ให้มาเอ็กซ์คลูซีฟที่นี่ดีกว่า”

เสร็จจากรายการนี้จะไปถ่ายรายการ 3 แซ่บ ไปด้วยกันเลยมั้ย?

“ทราบครับ มีคนรายงานแล้วครับ แจ้งวัฒนะ (หัวเราะ)”

เอ๊ะ ใครรายงาน ผมสงสัย?

“เราเจอกันบ่อยมาก เพราะเวลามีงานพ่อกับพ่อก็เจอกัน แต่ไม่มีโอกาสได้ออกด้วยกัน คุณแอฟ ทักษอร เป็นคนติดต่อมา ก็เลยได้มาออกรายการ นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผล”

เห็นว่า เช้านี้ กกต. ประชุมกันแล้ว น่าจะพิจารณาวันที่ 12 จะส่งผลถึงตัวคุณทิมมั้ย ที่จะมีการโหวตกันในวันที่ 13 ที่จะเป็นนายกฯ?

“คิดว่าไม่มีผลอะไรนะครับ เป็นสิ่งที่พี่น้องสื่อมวลชนก็ทราบมาเป็นอาทิตย์แล้ว และคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นในกระบวนการแบบนี้ ตอนพี่หมวยอ่านข่าวเมื่อกี้ บอกว่าของคุณธนาธรก็มีการทำแบบนี้ ฉะนั้นผมก็ได้ยื่นหนังสือท้วงติงและขอความเป็นธรรมขอความเป็นกลางจากกกต. การพิจารณาอะไรแบบนี้ มันมีขั้นมีตอนของมัน ผมเองยังไม่ได้เห็น ไม่ได้อ่าน ข้อกล่าวหาเลย ปกติต้องแจ้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปชี้แจง ไม่ว่าจะเป็นไอทีวีก็ดี หรือตัวผมก็ดีว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง แต่ตรงนี้ข้ามขั้นตอนไปเยอะพอสมควร ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ พอวันโหวตนายกฯ วันที่ 13 มีประชุมบ่ายนี้ วันที่ 10 เพื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 12 ผมว่าเรื่องระยะเวลามันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล ก็ต้องขอความเป็นธรรม ผมก็พูดได้เต็มปากเต็มคำเพราะผมเองยังไม่ได้เห็นคำร้องฝ่ายที่กล่าวหาผมร้องผมประเด็นอะไร กกต.ก็ไม่ได้ให้โอกาสผมในการไปชี้แจง มันต้องฟังความทั้งสองฝ่าย”

เท่าที่หนึ่งเรื่องการขายหุ้นไอทีวี สองเรื่องการขายหนังสือ?

“การขายหนังสือผมก็ไม่เห็นรายละเอียดด้วยเช่นเดียวกัน แต่คิดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เมื่อเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการผมก็พร้อมชี้แจง แต่เชื่อว่าเป็นการเข้าใจผิดกัน แต่ผมก็ไม่สามารถตอบได้ว่าเข้าใจผิดกันยังไง เพราะผมยังไม่เห็นแม้แต่คำร้อง”

ไปถึงขั้นแจ้งเท็จ เรื่องปปช. เรื่องที่ดิน คอนโด นาฬิกา เยอะแยะมากมาย?

“เป็นเรื่องที่ไม่ผิดคาด แล้วผมก็พร้อมชี้แจงทุกอย่าง เพราะรัดกุมมาตั้งแต่เป็นส.ส. สมัยแรก รัดกุมเมื่อออกจากส.ส.สมัยแรก เดี๋ยวต้องมียื่นทรัพย์สินเมื่อเข้ารับตำแหน่งครั้งที่สามอีก ฉะนั้นทั้งหมดถ้าเห็นข้อมูลทั้งหมด ถ้ามองด้วยใจที่เป็นกลางจะสามารถปะติดปะต่อเรื่องได้ด้วยตัวเอง แต่อย่างที่บอกเดี๋ยวขอดูว่าเขาอยากจะทราบในประเด็นไหน ก็พร้อมชี้แจงตามครรลองคลองธรรมที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว”

คิดว่าถูกกลั่นแกล้งมั้ย?

“ไม่หรอกครับ คนที่เป็นนักการเมือง ถามว่าผมเป็นคนแรกมั้ยก็คงไม่ใช่ ถามว่าเป็นปกติของคนเล่นการเมืองมั้ยก็เป็นเรื่องปกติ ขณะเดียวกัน ใครเป็นนักการเมืองก็ต้องพร้อมให้ตรวจสอบ เราก็พร้อมชี้แจง เป็นหน้าที่เราเป็นวิญญูชน ต้องคอยพยายามอย่างเต็มที่ที่สุด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและรัดกุมในการทำงาน”

เรื่องนาฬิกาคุณพิธา ก็มีคนจับประเด็นว่านาฬิกาคุณแจ้งไป 4-5 ล้าน แต่จริงๆ 9 ล้าน 10 ล้าน รู้สึกยังไง เพราะคนเล่นนาฬิกาก็น่าจะรู้ว่าไม่ถึงขนาดนั้นแน่นอน แต่มีการออกมาปั่นกันเรื่องนี้?

“คำตอบก็น่าจะอยู่ในคำถามพี่หนุ่ม (หัวเราะ) บางทีเอารูปผมตั้งแต่ยังไม่เล่นการเมือง ถ้าคนเล่นนาฬิกาจะรู้อยู่แล้วว่าบางทีซื้อมาขายไป ยกให้น้องบ้าง สลับไปสลับมา”

หรือยืมเพื่อน?

“ไม่มียืมเพื่อนครับ (หัวเราะ) ทุกทรัพย์สินมีที่มาที่ไป และมีหลักการในการประเมินราคาทั้งสิ้นทุกอย่าง (หัวเราะ) แต่ก็อย่างที่บอก คนที่อยากเล่นการเมืองต้องเข้าใจประเด็นพวกนี้ เป็นเรื่องปกติทั่วโลก เป็นเรื่องปกติของการเมือง บางทีก็โดนเรื่องสัญชาติ มีหลายเรื่อง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราต้องเป็นคนละเอียดและรัดกุม วางแผน”

ไม่เหนื่อยเหรอที่ต้องตามแก้ทุกอย่าง ต้องไปแก้ในศาล ไปกันใหญ่ต่างๆ นานา?
“มันไม่เหนื่อย มันอยู่ที่วิธีที่เราจะวางใจ วางโพสิชั่นจิตใจของเรา เมื่อเรารู้มาก่อนแล้ว คาดหวังมาก่อนว่านี่เป็นเรื่องปกติที่นักการเมืองในประเทศไทยและทั่วโลกต้องเจอแบบนี้ มันเหมือนเอาชีวิตของเราไปเข้าเครื่องเอกซเรย์ ในเมื่อเราเตรียมตัวแล้วว่ากำลังจะเข้าเครื่องเอกซเรย์เราก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเอ๊ะ ทำไมเราถูกกระทำอย่างโน้นอย่างนี้ตลอดเวลา มันก็ไม่ใช่ ผมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราก็อีกเรื่องนึงแต่สิ่งที่เราตลอดสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราก็อีกเรื่องนึง สักวันนึงผมคิดว่าถ้าเราใช้เวลาในการครองตนตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ประชาชนก็จะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร”

ต้องรอดูว่าผลสรุปจะออกมาเป็นยังไง แต่พร้อมต่อสู้ทุกรูปแบบในความบริสุทธิ์?

“แน่นอน และต้องทำในสิ่งที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด และสิ่งที่เราสัญญากับพี่น้องประชาชนเอาไว้ก็ต้องทำให้เต็มที่ เพราะเราก็เข้าใจว่ามีความหวังของคนจำนวนมากที่เขาฝากไว้กับเรา แล้วเขาก็ต้องการการเปลี่ยนแปลงจริงๆ”

อีกด่านที่ต้องเจอคือเรื่องสว. ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ไปเจราพูดคุยแล้วเขาจะยกให้เราเป็นยังไงบ้าง?

“ก็เป็นทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ บางทีพี่น้องประชาชนเวลาฟังสัมภาษณ์วุฒิสภา อาจมีหลายรูปแบบ บางคนบอกไม่โหวตให้ผม บางคนก็จะบอกว่าจะโหวตให้ผมตามหลักการตามมติรัฐบาลเสียงข้างมากที่ตั้งได้ บางคนก็บอกว่าขอฟังดูก่อน แต่ผมคิดว่าพอได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ๆ วุฒิสภามากขึ้น ผมคิดว่าสุดท้ายเราก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไหร่ เราอาจแตกต่างตรงที่มา ผมมาจากการเลือกตั้ง เป็นสภาล่าง ท่านอาจเป็นสภาบน แต่พอเราได้มาคุยกัน หลายคนก็แสดงความห่วงใยบ้านเมือง ในลักษณะที่ว่าผมก็อยู่สนช.มา พยายามปฏิรูปการศึกษามานานพอสมควร แต่ก็ทำไม่ได้ เรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ หลายท่านก็เคยทำงานกับผม เป็นอดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ เคยมีโอกาสทำงานกับท่านหลายคน รวมถึงที่มาจากสายการศึกษา เวลาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ก็รู้สึกว่าสุดท้ายเราก็ไม่ได้แตกต่างกันมากขนาดนั้น มีความตั้งใจที่จะพัฒนาบ้านเมืองขนาดนั้น และหลายท่านเป็นก็มีประสบการณ์ หลายท่านเป็นอดีตข้าราชการ อดีตที่อยู่ในทหารมาก่อน ของผมก็วัยกลางคน 42 มีประสบการณ์ระดับนึง แล้วก็มีความรู้เรื่องข้อมูล การใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหา บางทีถ้าเราผ่านจุดนี้ของเราไปได้ 13 ก.ค. ท่านยังมีเวลาอีก 1 ปี ไม่แน่ผมอาจได้มีโอกาสปรึกษาหารือท่านในสภา ทำงานร่วมกัน แก้ไขปัญหาให้บ้านเมืองก็เป็นไปได้ ก่อนที่ท่านจะหมดวาระ เพื่อประชาชน”

มีข่าวออกมาว่าล่าสุดเสียงสว. ที่ฝั่งก้าวไกลได้มาคือ 20 เสียง มีทางเพื่อไทยได้มาอีก 40 และพรรคอื่นๆ ที่อยู่ในพรรคร่วมอีก 8 พรรค รวม 10 ท่าน ตอนนี้ประมาณ 70 มันเกินแล้วนะ?

“อย่างที่ตอบ มันเป็นทิศทางที่ดี ผมคิดว่าบางทีพอเราไปลงตัวเลขกันตอนนี้ มันไปกระทบกับที่จะโหวตวันที่ 13 ผมคิดว่าถ้าเราหาฉันทามติร่วมกันได้ ได้มีโอกาสทลายกำแพงที่เราอาจไม่เข้าใจกัน เรื่องเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดน ผมพูดชัดเจน รัฐไทยต้องเป็นรัฐเดียว เรื่องจะให้มีต่างประเทศมาแทรกแซง ผมว่าประเทศไทยต้องกลับไปยืนบนเวทีโลก มีการถ่วงดุลกันระหว่างมหาอำนาจ และหาจุดยืนประเทศไทยให้เจอ พอเราพูดคุยกัน ตรงไปตรงมา ก็อย่างที่บอก ท่านก็เข้าใจมากขึ้น บางทีผมก็ไปฟังข่าวอีกฝั่งนึง บางคนก็ได้ไปฟังข่าวอีกฝั่งนึง พอได้มานั่งโต๊ะเดียวกันได้ถกกัน วุฒิสภาหลายท่านก็เปิดใจ รับฟัง หลายท่านมีโอกาสเจอกัน ก่อนเป็นนักการเมืองทั้งคู่ ก็มีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น”

สว.กิตติศักดิ์ บอกว่าไม่จริงหรอก สว.อย่างมากไม่เกิน 5 คนที่โหวตให้คุณพิธา รู้สึกยังไง?

“รู้สึกว่าเป็นความคิดเห็นของสว.กิตติศักดิ์ แค่นั้น (หัวเราะ) อย่างที่ได้เรียนพี่หมวย และคุณหนุ่มก่อนเข้ารายการ เราไม่สามารถมองวุฒิสภาเป็นกลุ่มเป็นก้อนอย่างนั้น มันเป็นความไม่ยุติธรรมกับท่านเหมือนกันเพราะท่านก็เป็นปัจเจกชน มีความคิดเป็นของตัวเอง มีหลักการ มีดุลยพินิจในการวิเคราะห์ หลายท่านก็พูดออกมาว่าวุฒิสภาก็เป็นนักการเมืองของประชาชนเช่นเดียวกัน ฉะนั้นมติมหาชนของรัฐบาลเสียงข้างมาก 8 พรรครวมกัน 25 ล้านเสียง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ของประเทศอยากให้จัดตั้งรัฐบาล ท่านก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่จะมาขวาง หลายท่านก็บอกว่าไม่ว่าจะคดีอะไรนโยบายอะไร มีองค์กรที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาอยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่วุฒิสภา หลายท่านก็บอกว่าเหมือนปี 62 สภาล่างรวมเสียงข้างมากได้เกิน 251 ก็คือตามนั้น ของผมได้ 312 ท่านบอกโหวตเพื่อหลักการ ไม่ได้โหวตเพื่อพิธานะ แล้วไม่ได้โหวตให้ก้าวไกลด้วยนะ ถึงเป็นใครมา แต่ถ้ารวมเสียงได้และเป็นมติของมหาชนได้อย่างที่เกิดขึ้น ท่านก็จะโหวตให้คนนั้น ไม่ได้โหวตเพื่อผมหรือเพื่อพรรคเลย”

เรื่องราวพรรคร่วม ผมก็รู้จักกับพรรคเพื่อไทยด้วย รู้จักก้าวไกลด้วย ต้องออกตัวไว้ก่อน ล่าสุดมีประเด็นว่าจะโหวตนายกฯ ให้คุณพิธา 3 ครั้ง เรื่องนี้มองยังไง?

“ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นการคาดการณ์ของแต่ละบุคคล คงไม่ใช่เรื่องพรรคหรือพรรคร่วมอะไรมาก พรรคร่วมเดี๋ยวจะมีประชุมกันในอีกวันสองวันเพื่อเตรียมเรื่องการโหวตนายกฯ คนที่ 30 แต่ขณะเดียวกัน ผมไม่ได้ดูในรายละเอียดที่คุณพิเชษฐ์แถลง เห็นแค่พาดหัว ก็คล้ายๆ กับพี่หนุ่มพูด แต่ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้จริงๆ คุณจาตุรนต์ ฉายแสงก็บอกว่าโหวตได้เรื่อยๆ ศิธา ทิวารี ก็บอกว่าโหวตได้เรื่อยๆ ถ้ามองในมุมนี้ผมก็คิดว่ายังไม่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนของพรรคร่วม เลขาฯ ประเสริฐก็บอกว่าไม่มีแผนสอง คุณเศรษฐา ก็บอกว่าไม่มีแผนสอง ครั้งที่หนึ่งน่าจะได้นายกฯ คนที่ 30 เพื่อจะรีบไปพิจารณาเรื่องงบประมาณแผ่นดิน แก้ปัญหาเรื่องภัยแล้ง ดูสิตอนนี้เรื่องเงินเฟ้อจะกลับมามั้ย เมื่อรัสเซียกับยูเครนรบมากขึ้น มันมีเรื่องให้ทำกันอีกเยอะแยะ ถ้าในนามพรรคร่วม 8 พรรคก็ค่อนข้างชัดเจนในฐานะผู้นำที่จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ก็ยังไม่มีการพูดคุยและไม่มีการคาดการณ์ตรงนี้ ไม่มีแผนสองตรงนี้เราอยู่กับปัจจุบัน กินข้าวทีละคำ กินชาทีละถ้วย เอาทีละเรื่อง เอาวันที่ 13 นี้ให้ผ่านให้ได้ก่อน เพราะแต่ละท่านก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งมีการเลือกตั้งประธานสภา โหวตกัน 15 ครั้งกว่าจะได้ประธานสภา มีการโหวตและออกมาเจรจา โหวตแล้วก็ออกมาเจรจา เรียกว่าโหวตไปวิปไป ตรงนี้ก็ไม่ได้มีอะไรตายตัว แต่แน่นอน น่าจะให้สองสามหลักการ ให้ตรงกับมติของประชาชนให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ให้ฉับไว และรีบแก้ปัญหาให้ประชาชน ตรงนี้ก็เชื่อว่าวันที่ 13 ที่จะถึงนี้ ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังจ้องมองประเทศไทย เรานิยามคำว่าประชาธิปไตย รัฐบาลเสียงข้างมากเป็นยังไงประชาธิปไตยเป็นยังไง ทั่วโลกกำลังจับตาดูอยู่ ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนคนไทย แล้วก็แฟนๆ ชาวโหนกระแส ทุกคนก็จับจ้องมาวันที่ 13 ในการโหวตครั้งนี้ ก็อยากให้ทุกคนคืนความปกติให้กับเมืองไทย  และให้โอกาสประเทศไทย ให้โอกาสประชาธิปไตย ไม่ใช้ให้โอกาสแค่พิธาเพียงอย่างเดียว ก็น่าจะเป็นรูปแบบที่ดี จะได้มีสมาธิจะได้แก้ปัญหาในการทำงานสักทีนึง ภัยแล้วงปีนี้ก็น่ากลัว เรื่องราคาปุ๋ย ราคาสินค้าการเกษตร อาหารสัตว์ ตอนนี้ก็มีความตึงเครียดในรัสเซีย ยูเครน ต้องการจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะไปแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน”

พรุ่งนี้จะมีการประชุมกัน?

“พรุ่งนี้จะประชุมแต่น่าจะเป็นเรื่องวิธีการ ขบวนการในการโหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 13 เพียงอย่างเดียว”

สมมติถ้าคุณพิธาผ่านด่านไม่ได้จริงๆ ถ้านายกฯ ไม่ใช่คุณพิธา แล้วเพื่อไทยจะขึ้นมาจัดตั้ง คุณพิธาจะสนับสุนมั้ย?

“ตอนนี้ยังไม่มีสมมติฐานไหนที่ทำให้สมมติแบบนั้นได้ ไม่ว่าจะเรื่องคดีความหรือเรื่องต่างๆ นานา ยังไม่มีเรื่องสมมติฐานใดที่จะสมมติแบบนั้นได้ ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน สมมติพร่ำเพรื่อไม่ได้ ผมว่าตลาดหุ้นจับตาดูอยู่ ต่างชาติที่กำลังจะลงทุน จับตาดูอยู่ ผมคิดว่าไม่มีแผนสองอะไร ในมุมมองผมไม่มีสมมติฐานไหนที่จะให้สมมติแบบนั้นได้”

ถือว่าชัดเจน ก็สร้างความมั่นใจให้หลายคน?

“ตอนนี้เรื่องเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาต้องการความมั่นใจ ต้องการเสถียรภาพ ต้องการเอกภาพ เรื่องความท้าทายที่พวกเราจะเจอ สังคมสูงวัย ภาวะโลกร้อนอะไรต่างๆ มันต้องใช้สมาธิในการแก้ไขปัญหาอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องมาหาสมมติฐานให้มีความขัดแย้งกันหรือกลั่นแกล้งกันทางการเมืองใดๆ มันผ่านการเลือกตั้งมาแล้วสองเดือนตั้งแต่ 14 พ.ค. ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของการรีบพับแขนเสื้อสองข้างและรีบทำงานสักที”

คนหลายคนบอกว่าก็เลือกมาแล้ว ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ รู้สึกยังไงกับคำพูดนี้?

“ผมไม่ได้คิดว่าเป็นคำพูดที่แค่ประชาชาชนคนไทยพูดได้ แต่ผมคิดว่าคนเป็นพลเมืองทั่วโลกที่อยู่ในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ์ทรงเป็นประมุข สามารถตั้งคำถามแบบนี้ได้ เพราะการเลือกตั้งมาให้ประชาชนตัดสินใจ ได้ฟังดีเบตแล้ว ดีเบตเล่า นโยบายแล้วนโยบายเล่า ได้เห็นตัวตนในการทำงานหาเสียงมา ผมคิดว่าประชาชนพลเมืองสามารถตัดสินใจด้วยตัวของประชาชนเองได้มันก็ต้องเป็นแบบนั้น เมื่อระบบนิ่งเมื่อไหร่ ผมก็ต้องโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมต้องโดนสื่อตรวจสอบนะ ถ้าทำไม่ได้จริง อีก 4 ปีคุณโหวตผมออกได้นะ ระบบมันเป็นแบบนี้ ฉะนั้นถ้าระบบมันดี มันไม่ใช่เรื่องของผมแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นผมทำไม่ได้จริงๆ ผมแพ้การเลือกตั้ง ผมก็ต้องส่งต่อนโยบาย อำนาจ และงานที่ค้างอยู่ ให้กับผู้นำคนต่อไปที่ประชาชนเลือกมา ฉะนั้นตรงนี้เป็นเรื่องเบสิกของประชาธิปไตย ในสากลโลกมันเป็นแบบนั้น แต่ในเมื่อระบบมาในแบบไม่ปกติในทางการเมือง ที่มาจากรัฐธรรมนูญปี 60 และอำนาจประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งก็โดนล้มล้างอยู่บ่อยๆ ทั้งรัฐประหาร ทั้งนิติสงคราม ทั้งการยุบพรรค มันไม่ปกติเมื่อเทียบกับสากลโลกเขา หรือแม้แต่สามัญสำนึกของคนไทย ครั้งนี้เป็นโอกาสที่นักการเมืองจะเรียกศรัทธาเข้าสู่ระบบการเมืองไทยและคืนความปกติให้การเมืองไทย ถึงแม้เราจะอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 60 นี่คือการเลือกคืนความปกติและให้โอกาสประเทศไทย ไม่ใช่ให้โอกาสผมเพียงอย่างเดียว”

ผมคุยกับคุณเพชร กรุณพล รองโฆษก ผมถามคุณเพชรตรงๆ ว่าหลังจากนี้เพชรจะได้เป็นรมช. มั้ย จะได้เป็นรัฐมนตรีมั้ย เพชรตอบว่าผมไม่ได้หรอก ผมก็ถามว่าเพราะอะไร เขาบอกว่าก้าวไกลมีกฎเหล็กเลย ก่อนที่ใครจะเสนอตัว หรือเขาจะเลือกใครสักคนก็ตามแต่ เขามีกฎว่าคุณต้องโชว์วิสัยทัศน์ให้เห็นก่อนว่าคุณเป็นแล้วเหมาะตรงไหน?

“ตอบเหมือนพี่สรยุทธ ตำนานไม่ใช่ตำแหน่ง หน้าที่ไม่ใช่หน้าตา”

ถ้าใครได้เป็นต่อให้ก่อนหน้าเลือกตั้งออกมาสู้ขนาดไหน แต่สุดท้ายได้เป็นส.ส.แล้วต้องมีการแสดงวิสัยทัศน์ว่าคุณเหมาะที่จะเป็นหรือไม่เหมาะ?

“ขอใช้สิทธิ์รับรอง เพราะคุณเพชรก็มาเล่าให้ฟังเหมือนกันว่าได้คุยกับพี่หนุ่มแบบนี้ สิ่งที่พี่หนุ่มพูดคือถูกต้องว่าเกิดขึ้นจริง คนจะมาทำงาน เราเลือกว่าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง เผลอๆ โดนอภิปรายไม่ไว้วางใจในพรรคก่อนด้วยว่าจะสามารถทำงานได้จริงหรือเปล่า แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนในพรรคด้วย เราคุยกันก่อนทุกคนเป็นส.ส. ว่าปัญหากระทรวงนี้ ถ้าจะแก้ไขให้ได้ต้องใช้บุคลากรแบบนี้ ถ้าคนในพรรคไม่มีเราก็จะใช้คนนอก เพราะเราไม่ได้ต้องการเข้าไปเพื่อรักษาอำนาจต่อรองอย่างโน้นอย่างนี้ เราต้องการแก้ไขปัญหาให้ได้จริงๆ แล้วนี่คือจุดแข็งเดียวที่พรรคก้าวไกลมี ผมไม่มีเงินเป็นถุงเป็นถัง มีความสัมพันธ์กับนายทุนใหญ่ๆ ผมมีแต่ประชาชน ผมต้องแก้ไขตั้งแต่ประชาชน ถ้าข้อนี้ของผมหายไปเมื่อไหร่ ผมไม่มีจุดแข็งอะไรของพรรคเหลือเลย ตรงนี้ผมต้องรักษาไว้ยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง”

จะบอกว่าเราต้องชัดเจนในพรรคเราก่อนชัดเจนกับประชาชน?

“ก็พยายามเต็มที่ แต่เรื่องการเมืองเป็นเรื่องโอบรับความหลากหลาย แต่ละคนก็มาจากแต่ละสถานที่กัน ฉะนั้นก็ต้องเป็นองค์กรหนึ่ง เหมือนช่องสามที่ต้องเรียนรู้ปัญหาความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหาความขัดแย้งนั้นทำยังไงที่จะบ่งบอกถึงความเป็นองค์กร ต้องพูดให้ชัดๆ ว่าพรรคก้าวไกลก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ไม่ได้เพอร์เฟกต์ มีข้อผิดพลาดมั้ย มีแน่นอน แต่พูดชัดๆ เราพร้อมเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้นและทำให้มันดีขึ้น ไม่ใช่ว่ารู้สึกว่าเอ้ย เราอีโก้สูง เราไม่เคยฟังความคิดเห็นของใคร คนเลือกตั้งเรามานี่แหละตรวจสอบเราเยอะมากที่สุด”

เหมือนแบกความกดดัน เพราะทุกคนเลือกมาแล้ว ถ้าทำไม่ได้จะมีผลตามมาในภายหลัง?

“ขณะเดียวกันเราก็มีโอกาสบริหารความคาดหวังกับพี่น้องประชาชนที่เลือกมา นี่คือประชาธิปไตยแบบนึงเหมือนกัน ที่เราให้มีบทสนทนา ท้วงติง กันได้ เราอาจถูกกล่าวหา เราก็ชี้แจงได้ เราขอโทษได้ ปรับปรุงได้ บางสิ่งบางอย่างในการบริหาร เป็นพรรคการเมืองก็ต้องนิ่งในหลักการความเป็นพรรคการเมือง ขณะเดียวกันเอาความเป็นภาคเอกชนมาช่วย ก็จะทำให้เราแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นเช่นเดียวกัน”

ล่าสุดมีรายงานว่า บ่ายโมง กกต. เชิญคุณพิธาเข้าพบด่วน ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหาเหตุของการสืบสวนก่อนยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ?

“ก็น่าจะเป็นการตอบรับที่ดีที่ได้ยื่นเอกสาร ขอดูรายละเอียดก่อน แต่พร้อมชี้แจงอยู่แล้ว อีกอย่างเพื่อนๆ สื่อมวลชนช่องสามอดีตพนักงานไอทีวีทั้งนั้น ก็อาจต้องขอไปเป็นพยานหน่อย (หัวเราะ)”

หลายท่านถามเรื่องสว. อาจมีข้อพิพาทเรื่อง 112 เป็นไปได้มั้ยหากคุณพิธาจะลดเพดานเรื่องนี้ มองเรื่องนี้ยังไง?

“ผมคิดว่าเป้าหมายของวุฒิสภากับพรรคก้าวไกลตรงกัน เราต้องการธำรงรัฎฐาสถาบันพระมหากษัตริย์ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขเช่นเดียวกัน แต่วิธีในการประเมินและการเข้าสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกับพี่น้องประชาชนคนรุ่นใหม่ดีขึ้นเราประเมินต่างกัน ผมคิดว่านการที่เราจะธำรงรักษาอะไรสักอย่างนึงให้สอดคล้องกับบริบทของปัจจุบันของแต่ละยุคสมัย ต้องทำให้มีทั้งกุศลโลบาย ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจทรงอยู่เหนือการเมือง ผมก็รู้สึกกังวลใจหลายท่านบอกว่าไม่ได้กังวลใจอะไรกับตัวพิธา แต่กังวลเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมคิดว่าการพูดแบบนี้อาจทำให้คนเข้าใจผิดว่าเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาปะทะ ซึ่งไม่ควรเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือการเมือง ตรงนี้พอมาตรา 112 ถูกเอามาโดยฝ่ายตรงข้าม ใช้กลั่นแกล้งประชาชนด้วย ทำให้คนหนุ่มสาวยุคสมัยใหม่ ที่มันแตกต่างกันไป ทำให้ห่างไกลจากพระองค์ท่านมากยิ่งขึ้น ผมก็ยังมองไม่ออกว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้ายังใช้วิธีธำรงรักษาแบบนี้ต่อไป จะเป็นผลดีกับใครหรือไม่ แต่คิดว่าเป้าหมาย พอได้ลงรายละเอียดกัน รู้สึกว่าเป้าหมายของเขาก็ไม่ได้ต่างจากผมเลย อยู่ที่แค่วิธีการประเมินและการธำรงรักษาสถาบัน ผมก็เข้าใจว่าวุฒิสภาก็อาจอยู่ในยุคนึง ผมในวัยกลางคนก็เข้าใจความคิดของคนที่มาก่อนผม และขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้แก่เกินไปที่จะเข้าใจความคิดของคนรุ่นใหม่ ผมคิดว่าด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิของผมที่เป็นตรงกลางได้ ถ้าเรามีเป้าหมายตรงกัน ประเมินสถานการณ์ ธำรงรักษาไว้ และใช้สภาเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการหาทางออก ซึ่งพื้นที่ที่เป็นสภา ไม่มีใครที่สามารถผูกขาดความจงรักภักดีได้หรอกครับ ไม่มีใครผูกขาดความคิด มีกรรมาธิการในการคิด มีสภาล่าง สภาบน ผมคิดว่าตรงนี้น่าจะทำให้ความสัมพันธ์ประชาชนและสถาบัน ทำให้พระองค์ท่านอยู่เหนือการเมืองและอยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป”

มีกระแสข่าวว่าก้าวไกลเองพูดคุยเจรจากับภูมิใจไทยเพื่อขอเสียงโหวต?

“ไม่มีนะ ผมเช็กเลยกับทางทีม ข่าวก็คือข่าว แต่ไม่มีการเจรจา ตอนนี้เราแพ็กกันแน่น 8 พรรคร่วมที่รวมได้ 312 เสียง ถ้ามองในมุมสภาราษฎร 500 เสียง ตัวเลข 312 เสียงก็เป็นตัวเลขที่เหมาะสมในการผลักดันนโยบาย หรือให้มีการตรวจสอบ ถ่วงดุลในสภา แต่ก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าเพื่อนส.ส. หลายคนที่ต้องการคืนความปกติให้สังคม แม้ไม่ได้ร่วมรัฐบาล แต่คิดว่าจะหาทางออกให้ประเทศ ก็ต้องขอบคุณเพื่อนส.ส. ที่ถึงแม้ว่าอาจไม่ได้เป็นรัฐบาล เป็นฝ่ายค้าน แต่คิดว่านี่คือให้โอกาสประเทศไทย คืนความปกติที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ และวิธีการที่ทุกพรรคโดนรัฐประหาร โดนนิติสงครามมาก่อน โดนยุบพรรคมาก่อน ฉะนั้นเราไม่มีสมาธิในการทำงานเลยนะ เราคืนความปกติเอาระบบให้มันนิ่ง ใครจะมาใครจะไปให้ประชาชนตัดสิน ผมว่ามันเมคเซ้นส์ ถึงเวลาผมแพ้ผมก็ไป ถึงเวลาประชาชนให้ผมทำต่อ ผมก็ทำต่อ กติกาแบบนี้ การที่เราจะออกนโยบายอะไร หรือปฏิบัติอะไร ถ้าประชาชนให้ความร่วมมือ จับมือกัน ไม่ใช่ให้ประชาชนอยู่ข้างหลัง ตรงนี้ก็จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง แก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้เร็วมากขึ้น ดีกว่าที่มาจากที่อื่น แล้วบอกว่าฉันจะเอาแบบนี้ จะแก้เรื่องที่ดิน ประมง เหมือง แบบนี้ แต่ประชาชนไม่เอาด้วย มันก็ขัดแย้งกันไปเป็นวงกลมไม่จบสักที”

พิพิมเป็นยังไงบ้าง?

“ตอนนี้ปิดเทอม บางทีเดินทางก็เอาเขาไปด้วย เขาก็ชอบที่จะได้พบปะประชาชน ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน ก็เป็นโอกาสที่ดีของลูก”

ไม่คิดหาคนมาดูแลพิพิมสักคนเหรอ?

“(หัวเราะ) ตอนนี้ต้องโฟกัสอยู่ที่เรื่องการเมืองและตัวเขา ตกลงนี่โหนกระแสหรือ 3 แซ่บครับ (หัวเราะ)”

แปลกใจงานก็ยุ่ง แต่ก็ยังไปกดไลก์ให้บางคนเลยนะ?

“พี่หมายถึงใคร พูดชัดๆ เลยดีกว่า(หัวเราะ) คุณแอฟว่าไงผมก็ว่างั้น พูดให้ชัดก่อนเดี๋ยวคนเข้าใจผิด (หัวเราะ) ก็คือเขาตอบพี่หนุ่มครั้งล่าสุดยังไง ก็ตอบตรงกัน เพราะยังไม่ได้เตี๊ยมกันมา เขาว่าไงผมก็ว่างั้น เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน เวลาเดินทางไปปทุมธานี สมุทรปราการ ก็มีเวลา 2-3 ชม. ผมก็ได้งีบหลักพักผ่อน ผมก็ได้มีโอกาสคุยกับพิพิมผ่านไอโม่ ก็ได้คุยกับเพื่อนบ้างอะไรบ้าง”

เดี๋ยวเสร็จรายการไปไหนต่อ?

“ไปปทุมธานี ไม่ได้ไปแจ้งวัฒนะ จะถามผมรู้ (หัวเราะ)”

รู้หมดเลย ผมยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะไปถ่ายที่แจ้งวัฒนะ?

“แอฟบอกมาแล้วเมื่อคืน บอกว่าวันนี้ไปกับพี่หนุ่มใช่มั้ย จะให้มาออก 3 แซ่บ ผมก็ถามว่า 3 แซ่บเขาให้นักการเมืองมาออกได้ด้วยเหรอ”

คุยทุกวันเหรอ?

“ไม่ได้ทุกวันขนาดนั้น”

ทำไมหน้าแดงๆ?

“ก็ปกติ แดดร้อนอะไรเยอะ ก็ยังโดนแดดอยู่ (หัวเราะ)”

เป็นเพื่อนสนิทกัน?

“ไม่ถึงสนิท แต่รู้จักกันมานาน มีอะไรก็ปรึกษาหารือกัน แอฟว่าไงผมก็ว่างั้น เพราะยังไม่ได้ดูรายละเอียดว่าพี่สัมภาษณ์อะไรเขาไปบ้าง เอางี้พี่หนุ่มสนิทกับเขามากกว่าผม”

จริงเหรอ?

“จริง (หัวเราะ) เขาก็เล่าเรื่องพี่หนุ่มให้ผมฟังบ่อย อันนี้เป็นการดักคอว่าอย่าถามเพิ่ม (หัวเราะ) เวลาเราจะชี้แจงกกต.ก็ต้องชี้แจงพี่หนุ่มแบบนี้เหมือนกัน”

เดี๋ยวไปไหนต่อ?

“ไปขอบคุณพี่น้องที่ปทุมธานี พาเพื่อนส.ส.ไปดูพื้นที่ ขอบคุณด้วย ดูปัญหาด้วย สุพรรณบุรีผมไม่ได้ส.ส.เขต แต่บัญชีรายชื่อได้ 1.7 แสน อันดับหนึ่ง เพื่อไทยได้ 1 แสน รวมกันก็ 2.7 แสน มันก็เยอะ ยังไงก็ต้องลงพื้นที่ ต้องลงพื้นที่เพื่อยืนยันว่าผมพร้อมเป็นนายกฯ ของทุกคน ไม่ว่าท่านเลือกผมหรือไม่ได้เลือกผม ผมพร้อมรับใช้ท่านเท่าเทียมกัน ฉะนั้นถึงจังหวัดไหนผมได้ส.ส.เขตเป็นศูนย์ แต่บัญชีรายชื่อท่านให้ผมมาเยอะขนาดนี้เป็นหนึ่ง ก็ต้องลงพื้นที่ โดยเฉพาะสุพรรณบุรี เป็นพื้นที่เกษตร ภัยแล้งมาจะโดนหนักมาก ฉะนั้นก็ต้องลงไปดู โคราชก็ต้องไป เขื่อนสี่เขื่อนน้ำอยู่เท่าไหร่ ในการบริหารจัดการน้ำต้องมีทั้งน้ำในเขื่อน น้ำในอ่างเก็บน้ำ 581 แห่งของโคราช ทำยังไงถึงสู้กับภัยแล้งให้เต็มที่ อาจยังไม่ได้แถลงกับพี่น้องประชาชนมากนัก เพราะยังมีรัฐบาลรักษาการอยู่ตอนนี้ เดี๋ยวพี่น้องข้าราชการจะสับสน 20 ก.ค. ค่าน้ำมันอาจขึ้น5 บาท จะทำยังไง เราก็ต้องคิดล่วงหน้าไว้ก่อน จะได้แก้ไขปัญหาได้เลย ไปถึงพับแขนเสื้อแล้วลุย”

อยากฝากบอกอะไรถึงสว.ที่อาจไม่ยกมือโหวตให้คุณ?

“อยากใช้โอกาสนี้ในการสื่อสารกับพี่ๆ วุฒิสภา ท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก เราอาจแตกต่างกันที่มา แต่ก็เป็นนักการเมืองของพี่น้องประชาชนเหมือนกัน ก็ขอแสดงความชื่นชม และขอบคุณความกล้าหาญของวุฒิสภา ที่ยังยืนยันและยืนหยัดว่าท่านเป็นนักการเมืองที่ใกล้ชิดประชาชน และตั้งใจช่วยกันทำงานใน 1 ปีที่เหลือของท่านเพื่อประชาชน หวังว่าในวันที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะมีโอกาสกลับมาที่สภาหลายครั้ง มีกฎหมายหลายเรื่องที่เราต้องทำร่วมกัน หลายท่านก็ได้พูดกับผมไม่ว่าอดีตเคยทำงานกับผม หรือเคยได้เจอกันตามร้านกาแฟในสภา และท่านเล่าให้ฟังว่าท่านเป็นข้าราชการมาตลอดชีวิต ท่านทำงานในกองทัพมาตลอดชีวิต ท่านผลักดันเกี่ยวกับสิทธิเด็ก ผลักดันกีฬา พาณิชย์ การศึกษา สมัยที่ท่านยังอยู่ในข้าราชการหรือเป็นสนช.อยู่ ที่ยังไม่สามารถผลักดันได้ ตอนนี้บริบทโลกก็เปลี่ยนไปอีก ฉะนั้นผมหวังว่าผมจะมีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถที่มี ใช้เทคโนโลยีที่ผมถนัดใช้วิธีการคิดข้อมูล ในการวิเคราะห์แก้ไขบ้านเมือง โดยที่ท่านมีประสบการณ์มาก่อน เมื่อประสบการณ์ของท่านเป็นฐานให้กำลังวังชาของผมเป็นแรงต่อยอด ให้เทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่ที่ผมเองก็ตามไม่ทันเขาแล้ว ใช้ต่อยอดเข้าไปอีก ผมคิดว่าประเทศไทยไม่เป็นสองรองใครแน่นอน”