เรื่องราวโหดสยองสุดสะพรึงระดับตำนานของฆาตกรที่มีชื่อติดทำเนียบอาชญากรตัวกลั่น ย่อมขาดชื่อนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด “ชาร์ลส แมนสัน”หรือ Charles Milles Manson ผู้ก่อกำเนิด Cult Killings ในนาม Manson Family หรือครอบครัวแมนสัน ที่เต็มไปด้วยสาวกหนุ่มสาวชนชั้นกลางผู้คลั่งไคล้ในตัวแมนสันและลัทธิปีศาจของเขานั่นเอง
แมนสัน เกิดเมื่อวันที่12 พฤศจิกายน ปี1934 ในตอนแรกเกิดแม่ “แคทเธอลีน แมดด็อกซ์” ตั้งชื่อเขาว่า No name Maddox เพราะไม่ได้เตรียมตั้งชื่อให้ แม่ของชาร์ลส แมนสัน เป็นสาวใจแตกวัย 16 ที่อุ้มท้องและคลอดเขาออกมาอย่างไม่เต็มใจนักที่โรงพยาบาลของเมืองซินซินเนติ รัฐโอไฮโอ และหลังจากนั้นอีก 3สัปดาห์เธอจึงเปลี่ยนชื่อโนเนมให้ลูกชายเป็น Charles Milles Maddox ต่อมาเปลี่ยนนามสกุลเป็น Manson หลังจากที่เธอแต่งงานใหม่กับคนงานนามว่า ‘วิลเลี่ยม แมนสัน’ ส่วนพ่อที่แท้จริงมีชื่อว่า ‘โคโลเนล สก็อต’ ซึ่งแมนสันไม่เคยเจอเลยสักครั้งเดียว
แคทเธอลีนเป็นคนติดเหล้า เธอไม่ค่อยใส่ใจลูกชายเท่าไรนัก ถึงขั้นเคยขายลูกเพื่อแลกกับเบียร์เหยือกเดียวมาแล้ว ก่อนที่ลุงแท้ๆ จะไปตามรับตัวเด็กน้อยแมนสันกลับมา แน่นอนว่าชีวิตวัยเยาว์ของขาโหดคนนี้ ลุ่มๆ ดอนๆ ขาดความอบอุ่นและสาแหรกขาดยับเยิน ต่อมาแมนสันถูกฝากไว้กับยายเมื่อเขาอายุได้ 5 ขวบ เนื่องจากแม่และพี่ชายถูกจับในคดีปล้นปั๊มน้ำมันและถูกลงโทษจำคุกเป็นเวลา 5 ปี เด็กชายแมนสันที่ไม่ค่อยมีใครต้องการถูกส่งเวียนไปตามบ้านญาติ จนสุดท้ายไปจบลงที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งไม่กี่ปีต่อมาเขาก็หนีออกมาเพื่อเดินทางไปหาแม่(แคทเธอรีนถูกปล่อยตัวชั่วคราว และอยู่ระหว่างการควบคุมความประพฤติ)แต่แม่กลับส่งเขาไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตามเดิม
แมนสันคงปวดใจไม่น้อยที่ไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ เลย เขาจึงหนีออกมาอีกครั้งและเริ่มก่อคดีมากมายทั้งลักเล็กขโมยน้อยและทำร้ายร่างกายหลายคดีจนถูกส่งตัวไปอยู่สถานกักกันเยาวชนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 9 ปี และอยู่ที่นั่นจนอายุ 18 ก็มีชื่อขึ้นบัญชีดำของตำรวจ
ในปี 1955 แมนสันอายุ 21 ปี เขาแต่งงานกับลูกสาวของคนงานเหมือง แต่ไม่นานนักก็หย่ากัน และผันตัวมาเป็นแมงดาคุมซ่อง และเริ่มก่อคดีอีกครั้งเช่น การขโมยรถยนต์ ปลอมเช็ค จนถูกจับจำคุกเป็นเวลา 7 ปี
เมื่อพ้นโทษออกมาในปี 1967 กล่าวได้ว่าแมนสันใช้ชีวิตกว่าครึ่งอยู่ในคุก จนเกิดความเคยชินพอได้รับอิสรภาพเขากลับคิดว่าตัวเองอาจไม่สามารถมีชีวิตอยู่ข้างนอกคุกได้ ช่วงยุค 60s ที่แมนสันออกมาอเมริกากำลังอยู่ในยุคบุปผาชนหรือ “ฮิปปี้” สังคมตอนนั้นจึงเต็มไปด้วยฮิปปี้หนุ่มสาว,LSD (สารเสพติดที่มีฤทธิ์หลอนประสาทอย่างรุนแรง ผู้เสพนิยมเรียกว่า กระดาษเมา, กระดาษมหัศจรรย์ หรือ เมจิกเปเปอร์ เป็นที่นิยมแพร่หลายในยุค60s ในกลุ่มนักดนตรี ชาวร็อค พวกฮิปปี้หรือบุปผาชน ต่อมาสารแอล.เอส.ดี.แพร่ระบาดเข้าสู่กลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มชนชั้นกลาง) และเรื่องฟรีเซ็กซ์
ความระห่ำโชกโชนชีวิตในคุก บวกกับบุคลิกและภาพลักษณ์ที่เสรีสุดๆ ตามสไตล์ฮิปปี้ตัวพ่อที่ไม่แคร์โลก แมนสันยังมีไอคิวสูงถึง 109 และมีศิลปะการพูดโน้มน้าวใจคน มีความสามารถพิเศษทางดนตรี (เขาเล่นกีต้าร์และแต่งเพลงได้ดี) จึงทำให้วัยรุ่นหนุ่มสาวที่คลั่งไคล้แนวฮิปปี้สไตล์ เต็มไปด้วยอุดมการณ์เสรีแต่ใช้ชีวิตไร้ทิศทางและจุดมุ่งหมาย เห็นแมนสันเป็นไอดอล เมื่อได้ฟังคารมฟุ้งฝันบวกกับฤทธิ์ LSD ร่วมด้วย จึงทำให้พวกเขาหลงไหลในคำพูดของแมนสันและมารวมตัวกันมากขึ้นๆ
“แมนสัน แฟมิลี่” มีสมาชิกหรือสาวกส่วนใหญ่เป็นเด็กมีปัญหาจากครอบครัวชั้นกลาง ในช่วงปี 1968 แมนสันรู้จักกับ เดนิส วิลสัน ซึ่งเป็นสมาชิกของวงบีชบอย และสนิทสนมกันจนเกือบจะออกอัลบั้มเพลงคู่กัน แมนสันชักชวนสาวกครอบครัวของเขามาเข้าพักในคฤหาสน์หรูของเดนิสระยะหนึ่ง แต่แมนสันแฟมิลี่ก็ก่อปัญหามากมายทั้งเรื่องขโมยข้าวของ หยิบยืมเงินแล้วไม่คืน เอารถเฟอรารี่ไปขับเล่นจนพัง รวมแล้วเป็นความเสียหายมูลค่าถึงแสนดอลลาร์เลยทีเดียว!!
เดนิสจึงขอร้องให้แมนสันพาครอบครัวของเขาออกไปจากคฤหาสถ์ แต่ถึงกระนั้นเดนิสก็ยังอุตส่าห์มีแก่ใจชักนำแมนสันไปรู้จักและเข้าสังคมคนวงการเพลง และได้แนะนำให้รู้จักกับ “เท็กซ์ วัตสัน”ซึ่งต่อมาชายหนุ่มคนนี้ได้กลายมาเป็นมือขวาสาวกเอกของแมนสันในภายหลัง
ในครอบครัวแมนสัน นอกจากเขาจะเป็นผู้นำครอบครัวแล้ว ยังมีภรรยาถึงสองคนอยู่ร่วมในครอบครัวเดียวกันนี้ด้วยคือ แมรี่ บรูนเนอร์ อดีตบรรณรักษ์สาวผู้ผันตัวมาใช้ชีวิตฮิปปี้ และ ซูซาน แอดกินส์ สาวใจแตกที่มีคดีติดตัว เธอทั้งสองได้คลอดลูกให้แมนสัน จนกลายเป็นครอบครัวใหญ่ขึ้น ต่อมาพวกเขาย้ายที่ไปอาศัยอยู่ในฟาร์มโดยช่วยกันทำงานเล็กๆ น้อยๆ แทนค่าที่พัก และขโมยรถไปขายหาเงินเลี้ยงครอบครัว ช่วงนี้เองที่แมนสันเริ่มพูดถึง “วันสิ้นโลก” บวกกับความคลั่งไคล้ในวงบีทเทิ่ล ทำให้เขาลากเอาบทเพลงของวงในตำนานวงนี้มาข้องเกี่ยวแบบมโนล้วนๆ ผูกเป็นเรื่องราว จนเหล่าสาวกคล้อยตามอย่างง่ายดาย!
เหตุเริ่มมาจาก White Album ซึ่งเป็นงานในช่วงท้ายๆ ของบีทเทิ่ลส์นี่เอง ชาร์ลสอ้างว่าเพลงในอัลบั้มนี้มีความเกี่ยวพันกับแมนสันแฟมิลี่ราวกับเขียนมาให้พวกเขาเลยทีเดียว แมนสันมโนว่าข้อความในเนื้อเพลงมีหลายจุดที่บ่งชี้มาถึงแมนสันแฟมิลี่!? โดยเฉพาะเพลง Helter Skelter ของเซอร์พอล แมคคาทนีย์ ซึ่งชาร์ลสอ้างไปว่า เนื้อเพลงนี้กล่าวถึง “คำนายของวันสิ้นโลก”
เฮลเทอร์สเคลเทอร์ มีความหมายสองนัย หนึ่งหมายถึงเครื่องเล่นแบบโบราณในสวนสนุกสมัยก่อน (ตามภาพนี้) สองอีกนัยยะหมายถึง ความสับสนวุ่นวาย ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบแบบแผน แต่ที่แมนสันเอาไปตีความเพลงนี้อย่างผืดรูปผิดรอย คือ เหตุการณ์วันสิ้นโลกในความเข้าใจมั่วๆ ของเขา ดังนี้
“ในไม่ช้าจะเกิดสงครามระหว่างคนขาวกับคนดำซึ่งจะเป็นชนวนนำไปสู่สงครามปรมาณู คนดำจะเป็นฝ่ายชนะแต่เนื่องจากพวกเขาไม่มีความสามารถในการปกครอง แมนสันแฟมิลี่ซึ่งเป็นเชื้อสายบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่เหลือรอดอยู่ที่เดทวอลเลย์จึงกลายมาเป็นผู้ปกครองโลก”
มโนไปไกลสุดกู่ขนาดนี้ แต่เมื่อมันมาจากแนวคิดของเจ้าลัทธิผู้ปราดเปรื่องอย่าง ชาร์ลส แมนสัน เสียอย่าง เหล่าสาวกแมนสันแฟมิลี่ก็เออออห่อหมกเชื่อตามหมดหัวจิตหัวใจ และจากจุดนี้เองที่ทำให้พวกเขาเริ่มคิดถึงการก่ออาชญากรรมเพื่อป้ายความผิดให้กับคนดำ นัยว่าเป็นการกระตุ้นให้สงครามเกิดเร็วขึ้น และพวกเขาจะได้ครองโลกไวขึ้น!!
และนี่คือคือจุดเริ่มต้นของ “Manson Family” ที่มีเจ้าลัทธินาม ชาร์ลส แมนสัน ผู้ที่เหล่าสาวกเชื่อฟังโดยไม่มีข้อแม้ ก่อนจะนำพาครอบครัวนี้เข้าสู่วังวนหฤโหดสุดๆ ในเวลาต่อมา!!
(โปรดติดตามตอนที่ 2)